บนพื้นที่รกร้างและมีลมพัดแรงของชายฝั่งตะวันออกเฉียงเหนือของกาตาร์ ท่ามกลางเนินทรายของทะเลทรายอันแห้งแล้ง เป็นที่ตั้งของ “อัล จาสซาซียา” (Al Jassasiya) แหล่งศิลปะสกัดหิน (Petroglyph) ที่ใหญ่ที่สุดและสำคัญที่สุดของกาตาร์
ที่นี่ ผู้คนเมื่อหลายศตวรรษก่อนได้ใช้พื้นหินปูนเป็นเหมือนผืนผ้าใบสำหรับวาดภาพ พวกเขาแกะสลักสัญลักษณ์ ลวดลาย และวัตถุที่พวกเขาสังเกตเห็นลงไปบนหินปูน แต่ก็ไม่ใช่ทุกภาพที่ง่ายต่อการจะดูให้ออกว่ามันคืออะไร
ที่ผ่านมา นักโบราณคดีพบงานศิลปะสกัดหินทั้งหมดประมาณ 900 ชิ้นที่อัล จาสซาซียา ส่วนใหญ่เป็นเหมือนรอยถ้วยปริศนาที่จัดเรียงเป็นลวดลายต่าง ๆ บ้างก็จัดเรียงเป็นแถว บ้างก็ดูเหมือนดอกไม้ บ้างก็เหมือนเรือใบ และบางจุดก็เป็นเหมือนกระดานบอร์ดเกมยุคโบราณ
เฟอร์ฮาน ซากัล หัวหน้าฝ่ายขุดค้นของพิพิธภัณฑ์กาตาร์ กล่าวว่า “แม้ว่าศิลปะบนหินจะพบเห็นได้ทั่วไปในคาบสมุทรอาหรับ แต่งานแกะสลักบางส่วนใน อัล จาสซาซียา นั้นมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวและไม่สามารถพบได้ที่อื่น”
เขาเสริมว่า “งานแกะสลักเหล่านี้แสดงถึงความคิดสร้างสรรค์และทักษะการสังเกตระดับสูงรวมถึงความคิดเชิงนามธรรมของศิลปินที่สร้างมันขึ้นมา”
กาตาร์มีแหล่งศิลปะสกัดหินที่มีชื่อเสียงประมาณ 12 แห่ง ส่วนใหญ่ตั้งอยู่ตามชายฝั่งของประเทศ ในส่วนของ อัล จาสซาซียา นั้น ถูกค้นพบในปี 1957 จากข้อมูลที่ได้รับการบันทึกไว้ทั้งหมด มากกว่า 1 ใน 3 ของศิลปะสกัดหินที่นี่จะมีลักษณะเป็นรอยถ้วยที่จัดเรียงเป็นรูปแบบ รูปร่าง และขนาดต่าง ๆ
รูปแบบที่โดดเด่นที่สุดคือรอยหลุม 7 หลุมที่เรียงขนานกัน 2 แถว ซึ่งบางคนเชื่อว่ามันถูกใช้สำหรับการเล่น หมากหลุม (Mancala) ในสมัยโบราณ
อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญบางคนโต้แย้งทฤษฎีนี้ โดยชี้ว่าหลุมบางหลุมที่ อัล จาสซาซียา นั้นเล็กเกินกว่าที่จะใส่หินใด ๆ ไว้ได้ ในขณะเดียวกัน มีการพบหลุมที่มีรูปแบบเหมือนกันนี้บนทางลาดด้วย ซึ่งหากใช้เพื่อเล่นเกมหมากหลุมจริงก็ไม่น่าจะเป็นไปได้ เพราะลูกหินที่ใส่ลงไปในหลุมน่าจะกลิ้งลงมา ทำให้มีการตั้งข้อสมมติฐานว่า มันอาจจะเป็นหลุมเพื่อการทำนาย หรือสำหรับคัดแยกและเก็บรักษาไข่มุก หรือเป็นระบบคำนวณเวลาและกระแสน้ำ
ซากัลให้ความเห็นต่อหลุม 7 หลุม 2 แถวนี้ว่า “ตอบยากมาก เราไม่มีเงื่อนงำโดยตรงเกี่ยวกับลวดลายที่ใช้ใน อัล จาสซาซียา … ในความคิดของผม พวกมันอาจมีความหมายและหน้าที่ทางพิธีกรรม ซึ่งเก่าแก่มากจนไม่สามารถอธิบายในได้”
ซากัลอธิบายว่า ศิลปะสกัดหินพวกนี้เป็นสิ่งที่ท้าทายมากในปัจจุบัน “มีสมมติฐานมากมายเกี่ยวกับอายุของมัน ตั้งแต่ยุคหินใหม่ไปจนถึงยุคอิสลามตอนปลาย … โดยส่วนตัวแล้วผมคิดว่าไม่ใช่ว่างานแกะสลักทั้งหมดนี้จะถูกสร้างขึ้นพร้อมกัน”
ในขณะที่บรรดาผู้เชี่ยวชาญไม่สามารถบอกได้แน่ชัดว่า ศิลปะสกัดหินของ อัล จาสซาซียา ถูกสร้างขึ้นเมื่อใด และใครเป็นผู้สร้างขึ้น แต่มีสิ่งหนึ่งที่พวกเขาเห็นพ้องต้องกัน นั่นคือ พวกเขามองว่า งานสกัดหินที่น่าทึ่งและแปลกตาที่สุด ณ สถานที่แห่งนี้คือ “ศิลปะสกัดหินรูปเรือ”
การสร้างสรรค์เหล่านี้ให้ข้อมูลที่สำคัญเกี่ยวกับประเภทของเรือที่ใช้ในอุตสาหกรรมประมงและไข่มุกที่เฟื่องฟูในอดีตกาล ภาพเรือส่วนใหญ่เมื่อมองจากด้านบนจะเป็นรูปเหมือนปลาที่มีท้ายเรือแหลมและมีพายเป็นแถว เชื่อว่าแกะสลักด้วยเครื่องมือโลหะปลายแหลม ประกอบด้วยรายละเอียดหลายอย่าง เช่น กระดูกงูของเรือ และรูที่น่าจะแสดงถึงการวางเสากระโดงเรือและที่นั่งบนเรือ
ในบางภาพ จะเห็นเส้นยาวจากท้ายเรือ แสดงให้เห็นเชือกที่ผูกสมอแบบอาหรับดั้งเดิม (สมอหินสามเหลี่ยมที่มีรูสองรู) หรือแบบยุโรป (สมอโลหะที่มีก้านยาวและส่วนโค้งสองด้าน)
ที่ อัล จาสซาซียา มีภาพสกัดหินที่เป็นภาพเรือจำนวนมาก จนผู้เชี่ยวชาญก้ไม่ทราบว่า กล่าวว่า ทำไมจึงมีภาพแกะสลักเรือมากเช่นนี้ เมื่อเทียบกับแหล่งสกัดหินตามชายฝั่งอื่น ๆ ในกาตาร์ แต่คาดว่าอาจเกี่ยวกับความเชื่อ
ฟรานเซส กิลเลสปี และไฟซาล อับดุลลา อัลไนมี ซึ่งเขียนหนังสือเกี่ยวกับความลับและอดีตของกาตาร์ บอกว่า “เรือมีบทบาทมากในความเชื่อของคนโบราณ ซึ่งมองว่าเรือเป็นสัญลักษณ์ในการข้ามผ่านจากโลกนี้ไปสู่โลกหน้า”คำพูดจาก สล็อต777 เว็บตรง
พวกเขาเสริมว่า “ทั้งชาวบาบิโลนและชาวอียิปต์โบราณเชื่อว่า คนตายจะไปถึงโลกหลังความตายด้วยเรือ ส่วนตำนานกรีกก็พูดถึง แครอน คนแจวเรือที่บรรทุกวิญญาณของคนตายข้ามแม่น้ำสติกซ์ไปยังยมโลก จึงอาจเป็นไปได้ว่า การแกะสลักเรือนั้นสะท้อนถึงความเชื่อท้องถิ่นที่ย้อนไปถึงยุคก่อนประวัติศาสตร์”
เรียบเรียงจาก CNN
ภาพจากDimitris Sideridis